[เรื่องสั้น] บ้านที่กลับไม่ถึง

พรรณิภาก้าวขาลงจากรถเมล์อย่างทุลักทุเลที่ป้ายรถเมล์หน้าหมู่บ้าน … หมู่บ้านที่เธออยู่มาตั้งแต่จำความได้ เธอบอกไม่ถูกว่าตอนนี้เป็นเวลากี่โมง รู้แต่ว่าท้องฟ้ากลายเป็นสีดำแล้ว แต่เมื่อมองไปรอบ ๆ ก็เห็นว่าผู้คนยังใช้ชีวิตราวกับตอนกลางวัน

ปกติเธอจะเดินจากหน้าหมู่บ้านเข้าไปประมาณ 400 เมตรแล้วเลี้ยวซ้ายในซอยที่หกก็จะเป็นซอยบ้านของเธอ และตลอดสองข้างทางก็จะมีร้านค้าสลับบ้านพักอาศัยตลอดเส้นทาง

“ทำไมวันนี้คนเยอะผิดปกติ” เธอบ่นกับตัวเองด้วยความสงสัย

ถนนตรงหน้าของเธอควรจะโล่งพอให้รถ 2 คันแล่นสวนกันได้สบาย ๆ แม้จะเป็นช่วงกลางวันก็ตาม ส่วนตอนที่คนเยอะที่สุดอย่างช่วงเช้าที่ถนนกลายเป็นตลาด คนก็ยังไม่เคยเยอะขนาดนี้ นี่มันคล้ายกำลังจัดงานเทศกาลอะไรสักอย่างมากกว่า

ซึ่งหมู่บ้านของเธอไม่เคยมีการจัดงานเทศกาลอะไรที่ว่านั่น…มาตลอดยี่สิบกว่าปีเลยสักครั้ง

เธอเดินเบียดเสียดกับคนมากมายที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน มีเสียงพูดคุยและตะโกนข้ามหัวกันไปมา บ้างก็เป็นเสียงตะโกนเรียกลูกค้า บ้างก็เป็นเสียงตะโกนขอทางเดิน ร้านค้าสองข้างทางเปิดไฟสีส้มเหมือน ๆ กันไปหมดราวกับนัดกันมา บางร้านเปิดกิจการมาตั้งแต่เธอยังไม่ย้ายมาอยู่ที่นี่ แต่บางร้านเธอแน่ใจว่ามันไม่เคยตั้งอยู่ที่นี่มาก่อนอย่างแน่นอน ทุกอย่างดูคุ้นเคยแต่ก็ให้ความรู้สึกแปลกประหลาดในแบบที่เธออธิบายไม่ถูก

หลังจากเดินเบียดผู้คนด้วยความงงงวยราว 2 นาที ทุกอย่างก็เงียบลงอย่างฉับพลัน ทางเดินเบื้องหน้าก็ว่างเปล่าไร้ผู้คนราวกับถูกตัดขาดจากทางเดินเมื่อครู่ชนิดที่ว่าเป็นคนละโลก ร้านค้าสองข้างทางปิดเงียบ มีเพียงหลอดไฟสีส้มแขวนไว้เป็นระยะทุก ๆ 3-4 เมตรเท่านั้น

พรรณิภาเห็นเศษหนังสือพิมพ์ปลิวไปตามแรงลม ให้ความรู้สึกเหมือนเธอกำลังเดินอยู่ในเมืองร้าง

ด้านหน้าเลี้ยวซ้ายก็เป็นซอยแยกบ้านเธอแล้ว ยิ่งเดินใกล้ปากซอยบ้านเธอ รอบด้านก็ยิ่งมืดและเงียบลงทุกขณะ

เท้าสองข้างของเธอเธอไม่ได้หยุดหรือชะลอลงเลย แต่กลับเร่งให้เร็วขึ้นเพราะเธออยากเดินให้พ้นซอยเล็กที่ทั้งมืดทั้งวังเวงนี้ไปโดยเร็วที่สุด ความรู้สึกในตอนนี้ไม่ใช่ความกลัว แต่เป็นความรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจบางอย่าง

แย่หน่อยที่บ้านของเธอคือหลังสุดท้าย เธอจึงต้องกัดฟันเดินจ้ำไปให้ถึงท้ายซอย เพราะมีอะไรบางอย่างที่สำคัญมาก ๆ กำลังรอเธออยู่ที่นั่น

พรรณิภาเดินมาจนถึงระยะที่สามารถมองเห็นประตูรั้วบ้านตัวเองได้แล้ว อีกราว 30 เมตรก็จะถึงหน้าบ้านของเธอ น่าแปลกใจที่วันนี้เธอกลับไม่เห็นรถของคนข้างบ้านที่มักจะมาจอดขวางหน้าบ้านเธอเป็นประจำ

อย่าว่าแต่รถเลย คนสักคน หรือหมาแมวที่คนในซอยเลี้ยงไว้ซึ่งมักจะส่งเสียงดังหรือออกมาวิ่งเพ่นพ่านเป็นประจำกลับหายไปราวกับพวกมันไม่ได้อยู่ที่นี่ ถึงทุกอย่างจะดูแปลกไปหมด แต่เธอกลับคิดว่านี่มันอาจเป็นเรื่องดีก็ได้

ในที่สุดพรรณิภาก็เดินมาถึงหน้าบ้านจนได้ เธอยืนมองประตูบ้านตัวเองด้วยความสับสน แน่ใจว่าประตูบ้านของเธอไม่ใช่แบบที่เธอกำลังเห็นอยู่นี่แน่นอน

เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองตัวบ้านกลับต้องสับสนยิ่งกว่า เพราะบ้าน 2 ชั้นที่เธออยู่มาตลอดชีวิต ในเวลานี้เธอมองไม่ออกด้วยซ้ำว่ามันมีกี่ชั้นกันแน่ ครึ่งขวาของตัวบ้านกลายเป็นช่องว่างสีดำสนิทราวกับว่าแสงถูกดูดหายไปหมด กระทั่งท้องฟ้าที่ว่ามืดก็ยังดูสว่างขึ้นมาเมื่อเทียบกับความมืดของช่องว่างประหลาดนั่น และเธอมองไม่เห็นขอบเขตของเพดานหรือหลังคาบ้านด้วยซ้ำ ในขณะที่ซีกซ้ายของบ้านก็คือบ้านหลังเดิมที่เธอคุ้นเคย

ไม่รู้ว่าประตูรั้วถูกเปิดออกตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เธอก็เดินเข้าไปในบริเวณบ้านอย่างช้า ๆ ในขณะที่สองตายังจับจ้องไปยังช่องว่างสีดำที่เธอไม่รู้เลยว่าข้างในนั้นมีอะไรอยู่กันแน่ แล้วแม่กับพ่อของเธอล่ะ พวกเขาอยู่ที่ไหน พวกเขายังปลอดภัยอยู่หรือเปล่า?

แม้ภายในใจเป็นห่วงคนในครอบครัวเหลือเกินแต่สายตาเธอก็ไม่อาจละออกจากหลุมดำนั่นได้เลย

ช่วงเวลานั้นเองเธอได้ยินเสียงเหมือนคนเดินลงบันไดจากหลุมดำที่ยังมองอะไรไม่เห็นนั่น เสียงฝีเท้านั้นก้าวลงมาอย่างช้า ๆ และเข้าใกล้เธอมากขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดมันก็หยุดลง และเธอก็สามารถมองเห็นเงาร่างของหญิงสาวในชุดกระโปรงยาวเสมอเข่าอย่างเลือนราง

พรรณิภามองไม่ออกหรอกว่าหน้าตาของหล่อนเป็นยังไง เพราะใบหน้านั้นยังถูกความมืดบดบังเอาไว้ แต่ในอ้อมแขนของหล่อนมีทารกคนหนึ่งนอนนิ่งอยู่ในห่อผ้า

“คุณเป็นใคร เข้ามาทำอะไรในบ้านฉัน? ” เป็นคำถามที่พรรณิภาถามออกไป ในใจมีความขุ่นเคืองอยู่บ้าง ติดอยู่ที่ว่าความสับสนงงงวยนั้นมีมากกว่า

เธอได้ยินเสียงที่ฟังไม่ออกว่าเป็นเสียงของผู้หญิงหรือผู้ชาย ไกลหรือใกล้ ดังหรือเบา เสียงนั้นตอบกลับมาว่า

ที่นี่ไม่ใช่บ้านของเธออีกต่อไปแล้ว ตอนนี้มันเป็นของฉัน

“มันจะเป็นไปได้ยังไง เมื่อเช้าฉันก็ยังอยู่ในบ้าน ฉันต้องการพบพ่อแม่ฉัน ฉันจะเข้าไปข้างใน”

น่าเสียดายที่เธอไม่อาจรู้ว่าหญิงสาวที่ยืนอุ้มลูกคนนั้นเป็นใครและจะตอบกลับมาว่าอะไร เพราะอยู่ดี ๆ เธอก็รู้สึกเหมือนร่างกายถูกดูดให้กลับมาอยู่ในฝูงคนที่เดินเบียดเสียดกันกลางถนนที่เต็มไปด้วยร้านค้าสองข้างทางอีกครั้ง

พรรณิภายืนอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันซ้ายหันขวามองหาทิศที่จะกลับไปยังซอยบ้านตัวเองอีกครั้ง แต่ไม่ว่าจะพยายามหาจุดสังเกตยังไงก็ไม่มีทางเดาถูกว่าบ้านของเธอควรจะอยู่ทางไหน เธอพยายามเดินฝ่าฝูงคนเหล่านั้นออกไปเพื่อให้หลุดออกจากจุดนี้ แต่ไม่ว่าเดินเท่าไหร่ก็ไปไม่ถึง

ชั่ววูบหนึ่งเธอรู้สึกว่าร่างกายถูกดูดอีกครั้ง และเมื่อตั้งตัวได้ เธอก็มายืนอยู่บนฟุตบาทหน้าห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ด้านหน้าเป็นถนนแปดเลนส์ กลางถนนมีทางวิ่งรถไฟฟ้าที่อยู่สูงเสียจนเธอไม่แน่ใจว่าจะมีคนสามารถขึ้นไปได้จริง ๆ

เธอไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน แม้จะมีห้าง มีรถไฟฟ้า แต่เธอไม่รู้สึกว่ามันคือกรุงเทพฯเลย เผลอ ๆ มันจะไม่ได้อยู่ในประเทศไทยด้วยซ้ำ ทุกอย่างดูคุ้น ๆ แต่ประหลาดไปหมด เธอไม่สามารถบอกได้ว่าห้างขนาดใหญ่ด้านหลังนี้มีชื่อว่าอะไร เธอไม่สามารถเข้าไปถามผู้คนที่ยืนรอรถหรือเดินไปมาแถวนั้นได้โดยที่ไม่รู้เหตุผลด้วยซ้ำ แค่รู้ว่าทำไม่ได้เท่านั้น

เธอแค่อยากกลับบ้าน เธอแค่อยากแน่ใจว่าพ่อกับแม่จะปลอดภัย เธอแค่อยากรู้ว่าผู้หญิงที่อุ้มทารกคนนั้นเป็นใคร ทำไมถึงอ้างตัวว่าเป็นเจ้าของบ้านคนใหม่

แต่สุดท้าย เธอกลับทำอะไรไม่ได้สักอย่าง

เธอยังคงวนเวียนหาทางออกจากสถานที่ที่เหมือนจะคุ้นเคยไปหมด แต่เมื่อพยายามจะนึกให้ออกจริง ๆ กลับไม่สามารถบอกได้ว่ามันคือที่ไหน และเส้นทางกลับบ้านของเธอก็ดูไกลขึ้นทุกที

พรรณิภายังคงมีความหวังว่าจะได้กลับไปพบพ่อกับแม่อีกสักครั้ง ในวันที่เธอสามารถหาทางออกจากที่นี่ได้ และเธอก็หวังว่าวันนั้นจะมีอยู่จริง

[จบตอน]

Talk : เรื่องราวจากความฝันอีกแล้วค่ะ เคยมีใครเคยฝันว่าอยากกลับบ้านแต่ไม่ว่ายังไงก็กลับไม่ถึงมั้ยคะ พยายามจะไปให้ถึงแต่ก็เหมือนหลงวนเวียนอยู่ในเขาวงกตยักษ์ ขนาดไรท์กลับไปถึงแล้วยังเข้าบ้านไม่ได้เลย โดนดีดไปไหนไม่รู้! 

error: Content is protected !!